สงครามโลกครั้งที่1เกิดขึ้นจากอะไร?

สงครามโลกครั้งที่1เกิดขึ้นในในปีคริสตศักราช1914และได้จบลงในปีคริสตศักราช1918เป็นสงครามที่ได้สร้างความเสียหายผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมากนั่นก็เป็นเพราะว่าได้มีคนเสียชีวิตจากสงครามครั้งนี้ถึง16ล้านคนและก็บาดเจ็บจากสงครามอีก21ล้านคนเป็นสงครามที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายเข็ดสุดๆและพยายามอย่างมากเลยที่จะไม่ให้สงครามเหล่านี้เกิดขึ้นมาอีก

ซึ่งมันก็เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าความพยายามนั้นพินาศไม่เป็นท่าเพราะว่าจากหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบเพียง20ปีต่อมาก็ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่2อยากจะบอกว่าหายนะมากกว่าเดินอีกผู้คิดว่าจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่1คืออะไร หนึ่ง เหตุการณ์รอบสังหาร อาร์ชดยุท ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ ้เหตุการณ์ที่สอง มหาอำนาจยุโรปแย่งอำนาจกัน 

ซึ่งในตำราเรียนต่างๆมักจะเริ่มการอธิบายการเกิดของสงครามโลกครั้งที่1จากเหตุการณ์สังหาร อาร์ชดยุท ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ มกุฏราชกุมารแห่ง ออสเตรีย-ฮังการี และ พระชายา เจ้าหญิงโซฟีที่กรุงซาราเจโวเมืองหลวงของบอสเนียเฮอร์เซโกวีน่า จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีก็เรียกว่าเป็นมหาอำนาจหนึ่งของยุโรป

ดังนั่นการที่ มกุฏราชกุมาร มกุฏราชกุมารรีได้ถูกสังหารอย่างอุกอาจในตอนกลางวันแซกๆในขณะนั้นมันไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอนแต่ว่าถ้าเราจะพูดว่านี่คือสาเหตุหนึ่งเดียวของการเกิดสงครามโลกที่ทำเอาคนตายไปถึง16ล้านคนมันก็ดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลมากเท่าไรเพราะว่าการสังหาร มกุฏราชกุมาร ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์เป็นฟางเส้นสุดท้ายพอดีที่จุดระเบิดของสงครามโลกครั้งที่1เกิดขึ้น

สาเหตุหลักๆที่นำพามหาอำนาจยุโรปเข้าสู่สงครามนั้นอาจจะสรุปได้เป็นข้อๆดังต่อไปนี้ หนึ่งการล่าอาณานิคม ประเทศเจ้าอาณานิคมต้องมีกองทัพขนาดใหญ่เพื่อที่จะเอาไปควบคุมอาณานิคมส่วนมากจะอยู่ในทวีปแอฟริกาทั้งฝรั่งเศสเยอรมันอังกฤษต่างก็เข้าไปแย้งพื้นที่ในแอฟริกากันอย่างหน้าดานเลยทั้งที่ไม่ได้เป็นของตัวเองเลยมันเป็นประเทศของเขา 

สอง การแข่งขันสะสมอาวุธ และการขยายขนาดกองทัพ นั่นแหละการล่าอาณานิคมมันจำเป็นที่จะต้องมีกองทัพขนาดใหญ่นอกจากจะมีคนเยอะแล้วก็จะต้องมีแสนยานุภาพยุทยุทโธปกรณ์มาด้วยใครมีอะไรตัวเองก็จะต้องมีมากกว่าก็ทับถมก็ไปเรื่อยๆจนมันสร้างความรู้สึกไม่มั่นคงให้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่จบสิ้น

สาม การจับมือเป็นพัมธมิตรกันด้วยกฏเกณฑ์ที่รัดรึงหนักมากประเทศต่างๆเมื่อรู้สึกว่ามันไม่มั่นคงจากการแข่งขันกันสะสมอาวุธและกองทัพก็จะพยายามหาพันธมิตรโดยการทำสนธิสัญญาคือเป็นสนธิสัญญาว่าจะไม่รุกรานกันแต่มันก็ยังมีเพิ่มมาคือว่าต่างฝ่ายต้องเข้าช่วยเหลือกันเมื่ออีกฝ่ายถูกรุกรานแต่ว่าจริงๆแล้วนั้นถ้าเป็นสนธิสัญญาทั้งสองประเทศมันยังไหวแต่มันจะไม่ใช่แบบนั้นมันจะไม่ใช่สนธิสัญญา2ฝ่าย

อุดมการคอมมิวนิสต์ของนายเหมาเจ๋อตง

ซึ่งThe Great Leap Forward คือการปฏิวัติอุตสาหกรรมเหมาสไตล์เราจะต้องเข้าใใจกันก่อนว่าตามฤทฎีคอมมิวนิสต์ของคาร์มาร์กซ์นั้น การที่ประเทศจะเปลี่ยนระบอบมาเป็นคอมมิวนิสต์ได้นั้นประเทศดังกล่าวจะต้องเป็นประเทศอุตสาหกรรมซะก่อนทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าในโมเดลของมาร์กซ์

เมื่อประเทศได้เป็นอุตสาหกรรมนายทุนก็จะใช้วิธีการกดค่าแรงคนงานเพื่อผลกำไรสูงสุดสุดท้ายแรงงานก็จะลุกขึ้นมาปฏิวัติแล้วก็ยึดจักรกลการผลิตเป็นของแรงงานร่วมกันแล้วก็เดินหน้าต่อโดนคนงานเพื่อคนงานอะไรประมาณนี้โมเดลแบบสหภาพโซเวียตก็เป็นเช่นนี้แต่ว่าในกรณีของจีนนั้นต่างออกไป

เพราะว่าจีนยังเป็นประเทศเกษตรกรรมถ้าถามมาร์กและเลนิน สองคนนั้นก็จะบอกเหมาเจ๋อตงว่าปล่อยให้ประเทศเป็นทุนนิยมกันไปก่อนเพื่อให้นายทุนทำการปฏิวัติอุตสาหกรรม

เมื่อการปฏิวัตอุตสาหกรรมสุงอมแล้วอุดมการคอมมิวนิสต์ก็จะตามมาตามธรรมชาติคนจะคิดได้เองโดยที่ไม่ต้องบังคับแต่เหมาเจ๋อตงก็บอกว่าแบบนี้มันก็ไม่ทันสิเราจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์เดี๋ยวนี้และเราเป็นไปแล้วด้วยแต่ถึงอย่างไรเราก็จะต้องมีอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าเพราะไม่งั้นเราก็จะไปต่อไม่ได้

ในยุคนั้นความเป็นอุตสาหกรรมวัดจากความสามารถในการผลิตเหล็กกล้าเพราะว่าเหล็กกล้าถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากๆในการก่อสร้างสะพานโครงสร้างขนาดใหญ่และเครื่องจักรอุตสหากรรมเหมาเจ๋อตงได้ทำทั้ง2อย่างในโครงการThe Great Leap Forwardหรือโครงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดนั้นก็คือหนึ่ง การทำนารวม และ สองการผลิตเหล็กกล้ารายหมู่บ้าน

ซึ่งการทำนารวมนี้เกิดจากความคิดที่ว่าจีนได้เป็นประเทศกสิกรรมอยู่แล้วและผลิตอาหารได้มากดังนั้นจึงควรรวมหน่วยการผลิตข้าวเข้าด้วยกันคือเอาที่ดินมารวมกันแล้วก็เอาคนมารวมกันแล้วก็ทำนาแบบใหญ่ๆไปเลยจะได้ผลิตข้าวได้เยอะๆทั้งใช้บริโภคภายในประเทศและส่งออกด้วยนี่ก็คือการทำงานตามConceptคอมมิวนิสต์ทุกคนได้ร่วมกันผลิตทุกคนผลิตไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นของทุกคนและทุกคนก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกันแถมส่งออกได้แถมประเทศเจริญเข้าไปอีก

นอกจากนี้ในช่วงแรกคอนเซ็ปต์นารวมก็ได้รับการตอบรับจากชาวนาดีพอสมควรเลยเพราะว่าชาวนาจีนเป็นจำนวนมากไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองต้องเช่านาเขาทำอดๆยากๆแต่ทีนี้รัฐบาลก็ยึดที่ดินทั้งหมดมาเป็นของรัฐบาลแล้วก็ให้ทุกคนเป็นชาวนาทำงานให้กับรัฐบาลบ้านไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อกินเต็มที่รัฐเลี้ยงดูและทุกคนก็ทำนา

ส่วนโครงการที่สองคือโครงการผลิตเหล็กกล้ารายหมู่บ้านอันนี้คือจะว่าไปแล้วก็ชวนให้เลิกคิ้วมากๆเลยคือเหมาเจ๋อตงและกุนซือเศรษฐกิจก็คิดกันว่าสิ่งที่ประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลายไม่มีแต่จีนมีก็คือคนจีนเยอะมากแล้วก็การที่มีคนเยอะจะสามารถทดแทนเครื่องจักรเครื่องกลได้

 

สนับสนุนโดย  nowbet

การปฎิวัติของราษฎรยุคสยามในสมัยรัชกาลที่7

เช้าวันที่24มิถุนายน สิ่งที่ได้เกิดขึ้นในเช้าวันนั้นเอาเข้าจริงๆก็เกิดจากการวางแผนที่ใจกล้ามากๆคือการลวงทหารจากหน่วยต่างๆไปกองไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นพันๆนาย

โดยใช้วิธีทั้งหมดให้ทหารทั้งหมดออกมาเพราะเข้าใจว่ามีการกบฎเกิดขึ้นโดยอาศัยแค่บารมีเท่าที่จะมีอยู่ พระยาทรงสุรเดช พระยาพหล และ พระประศาสน์ บุกเข้าไปกรมทหารม้าที่1แบบไม่ให้ใครตั้งตัวรีบเรียกทหารขึ้นรถรีบขนปืนและนำขบวนรถเกาะออกมาในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงสมทบกับทหารเรือที่ใช้วิธีเดียวกัน

นอกจากนี้ยังมีรักเรียนนายร้อยที่พระยาทรงสุรเดชใช้ความเป็นอาจารย์นัดหมายไว้และทหารฝึกใหม่ในกรมทหารช่างโดยไปบอกว่าให้ตื่นเช้ามาเข้าฝึกหัดที่จุดนัดหมายด้วย พระยาพหลที่ได้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติได้ขึ้นเวทีและอ่านประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองขอให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายและกล่าวถึงข้อเสียของระบอบเก่าว่าเป็นระบอบที่ใครจะออกเสียงคัดค้านย่อมมิได้การปกครองแบบนี้จะปล่อยให้ประชาชนเผชิญกับเศรษฐกิจและการภาษีโดยลำพังและไม่ได้ให้บ้านเมืองดีขึ้นเลย

ซึ่งอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จก็คือการมีองค์ประกันหรือการจับตัวประกันนั่นแหละเพราะถ้าไม่มีองค์ประกันก็คงไม่มีเครื่องมือต่อรอง

องค์ประกันอันดับหนึ่งที่ไม่มีไม่ได้ก็คือกรมพระนครสวรรค์วรพินิตซึ่งเป็นผุ้ที่มีอำนาจมากที่สุดในพระนครรองจากพระเจ้าอยู่หัวเพราะกรมพระนครสวรรค์นั้นเป็นผู้คุมกำลังทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารเคยดำรงตำแหน่งเป็นทั้งเสนาธิการทหารบกเสนาบดีกระทนงทหารเรือเสนาบดีกระทรวงกลาโหมและได้ดำรงตำแหน่งสุดท้ายคือเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ท่านได้มีศักดิ์เป็นคุณปู่ของอดีตผู้ว่า กทม. หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์บริพัตร

สรุปว่าในวันนั้นมีการจับกุมบุคคลสำคัญและเชิญเจ้านายมาประทับที่พระที่นั่งอนันตสมาคมทั้งสิ้น25คนส่วนบทบาทของพลเรือนทั้งนายประยูร ภมรมนตรี นายควง อภัยวงศ์ นายประจวบ บุนนาค ก็คืออเข้ายึดกรมไปรษณีย์ ตัดสายโทรเลขยึดการสื่อสารเอาไว้เพื่อความได้เปรียบ

ซึ่งกว่าที่ข่าวจะไปถึงวังไกลกังวลความได้เปรียบก็อยู่กับฝ่ายคณะราษฎรแล้วช่วงบ่ายคณะปฏิวัติเริ่มแจกจ่ายแถลงการณ์ที่ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้เขียนขึ้นสิ่งนี้เรียกว่าประกาศราษฎรฉบับที่หนึ่งได้มีเนื้อหาย้ำเตือนว่าต่อไปนี้ประเทศสยามเป็นประเทศของราษฎรไม่ใช่ของใครเพียงคนหนึ่งอีกต่อไป

การเปลี่ยนแปลงก็เสร็จสมบูรณ์เมื่อคณะราษฎรได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลในหลวงรัชกาลที่7พราะบามสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอัญเชิญมาเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้กฎหมายเมื่อพระองค์เห็นด้วยกับแนวทางการปกครองนี้และทรงแจ้งให้ราบว่าพระองค์มีความตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงการปกครองอยู่เหมือนกัน

โดยจะเป็นพระมหากษัตริย์ตามพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  dewabet

วัฒนธรรมเกี่ยวกับการจัดงานศพของไทย

งานศพนั้นถือได้ว่าเป็นงานที่ไม่มีใครอยากจัดหรืออยากให้เกิดขึ้นกับทางบ้านของตน โดยการจัดงานประเภทนี้เป็นการจัดขึ้นในครั้งสุดท้ายของชีวิตเพื่อเป็นการให้เกียรติและระลึกถึงครั้งสุดท้าย สำหรับการเกิดการเสียชีวิตซึ่งจะต้องเป็นวัฒนธรรมของชาวไทยด้วยการจัดงานศพให้โดยมีเรื่องราวในการจัดทำพิธีมีดังต่อไปนี้

หากมีบุคคลเสียชีวิต สิ่งแรกที่ควรทำก็คือต้องเดินทางเพื่อไปแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตเสียก่อน โดยจะต้องเดินทางไปที่สำนักงานทะเบียนของท้องถิ่นที่ผู้เสียชีวิตอาศัยอยู่ และควรที่จะต้องทำการไปแจ้งภายใน 24 ชั่วโมงอีกด้วย เพื่อเป็นการแจ้งให้ออกใบมรณะบัตรให้แก่เรา หลังจากนั้นให้เราไปดำเนินการต่อที่ทางอำเภอเพื่อเป็นการแจ้งชื่อว่าบุคคลนี้ได้เสียชีวิตลงแล้ว โดยจะต้องไปภายใน 15 วันด้วยนะ

หลังจากที่คุณได้ทำการเดินเรื่องเอกสารเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตเรียบร้อยแล้วนั้นจะต้องนำศพไปไว้ที่วัด หรือที่บ้านก็ได้เช่นกัน หากสะดวกแบบไหนก็สามารถทำได้ หากในกรณีที่ศพนั้นเสียชีวิตที่โรงบาลก็จะต้องดำเนินการภายในโรงพยาบาลให้เรียบร้อยเสยก่อน แล้วจึงค่อยนำศพกลับมาเพื่อบำเพ็ญกุศลได้

สำหรับพิธีงานศพนี้เราจำเป็นที่จะต้องรดน้ำศพเสียก่อน เพื่อเป็นการเคารพศพและดูหน้าไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะนำศพลงโดรงนั่นเอง สำหรับพิธีรดน้ำศพนั้นจะเป้นการจุดธูปคนละหนึ่งดอกและทำการพูดเพื่อขอขมาศพที่เสียชีวิต จากนั้นก็ทำการรดน้ำศพและนำคนเสียชีวิตเข้าโรงศพ

หลังจากที่ทำการตามประเพณีเรียบร้อยแล้ว ในเวลาหัวค่ำก็จะต้องมาฟังพระสวด โดยในการจัดสวดอภิธรรมนั้น จะเป็นการจัดสวดเพื่อจุดประสงค์จะต้องการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย สำหรับการจัดสวดนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าภาพหรือญาติว่าจะตกลงกันว่าเอาไว้กี่วัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะจัดกันอยู่ที่ 3-7 วัน

หลังจากที่ได้เอาศพไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด ก็จะต้องทำการฌาปนกิจศพ เพราะถือได้ว่าเป็นเวลาแก่สมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานกี่วันก็ตาม แต่เมื่อถือเวลาในการทำฌาปนกิจก็จะต้องเตรียมวิธีหรือขั้นตอนต่อไป โดยการทำพิธีนี้ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนในการจัดงานศพลำดับสุดท้าย

ซึ่งการทำฌาปนกิจศพนั้นจะต้องทำการโดยมีการแห่ศพไปที่เมรุ จากนั้นก็รอเวลาดำเนินการนำศพขึ้นเผา โดยจะต้องมีการกำหนดเวลาในการเผาและก่อนจะนำศพขึ้นเผานั้นจะต้องมีการทอดผ้า เพื่อเป็นการบังสกุลส่งผลให้แก่คนตาย จากนั้นยืนไว้อาลัยและเดินขึ้เอาดอกไม้จันทไปวางเพื่อเป็นการเคารพศพเป็นครั้งสุดท้าย

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  rb88 ฟรี 300

ตำนานองค์คุลีมาร ชายที่เป็นคนบาป

        หากใครเคยได้เรียนเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาในพระพุทธศาสนาแล้วละก็ ย่อมเคยได้ยินตามนานของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นโจรใจบาปในสมัยอดีตกาล เขาเป็นคนที่แค่เอ่ยชื่อ ใครได้ยินต่างก็เกรงกลัว เป็นผู้ชายที่มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในประวัติของพระพุทธเจ้า

ซึ่งผู้ชายคนที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ก็คือ องค์คุลีมาร จอมโจรใจบาปที่คิดจะฆ่าแม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลักษณะของโจรคนนี้จะมีการปล่อยเครารกรุงรัง และจุดเด่นของเขาก็คือ เขาจะมีสร้อยคอ ที่มีนิ้วมือของคนตายมาตัดห้อยเอาไว้ที่คอของเขา ซึ่งเราจะเห็นข้อมูลเกี่ยวกับ ตำนานขององค์คุลีมารได้จากประเทศอินเดียซะส่วนมาก โดยที่ประเทศอินเดียนั้นเคยมีการสร้างรูปปั้นขององค์คุลีมารเอาไว้ด้วย 

    สำหรับเรื่องเล่าและตำนานเกี่ยวกับองค์คุลีมาร นั้นแต่เดิมเขาคือเจ้าชาย และเป็นคนฉลาดและรูปงาม เป็นคนที่ขยันร่ำเรียนวิชาหาความรู้ ด้วยตอนที่องค์คุลีมารเป็นหนุ่มนั้น เขาได้ไปร่ำเรียนวิชากับอาจารย์คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น เขากลายเป็นศิษย์เอกของอาจารย์เลยก็ว่าได้ แต่ด้วยความที่เขาเก่งและฉลาดทำให้เพื่อนที่มาร่ำเรียนวิชาด้วยกันเกิดความอิจฉา

จึงได้พยายามไปยุแยง เป่าหูพระอาจารย์ให้ไม่ชอบองค์คุลีมารและใส่ร้ายว่าองค์คุลีมาร อาจจะเป็นลูกศิษย์คิดล้างครูก็ได้หากร่ำเรียนวิชาสำเร็จแล้ว ด้านอาจารย์นั้นก็หูเบาแต่ก็ไม่กล้าที่จะฆ่าองค์คุลีมาร ดังนั้นจึงได้หลอกให้องค์คุลีมารไปฆ่าคนอื่นเพื่อหวังว่าจะยืมมือคนอื่นนั่นฆ่าองค์คุลีมารนั่นเอง

โดยอาจารย์บอกให้องค์คุลีมารฆ่าคนให้ครบ หนึ่งพันคนแล้วจะสำเร็จวิชา ดังนั้นนับแต่นั้นเป็นต้นมาเมื่อเขาเจอกับใครกับตาม เขาก็จะฆ่าทันที แต่เมื่อฆ่าไปแล้วหลายคนก็เกิดมีปัญหาว่า ตัวเองจำไม่ได้ว่าฆ่าคนไปแล้วกี่คน จึงได้เริ่มต้นฆ่าคนใหม่แต่ทีนี้อาศัยตัดนิ้วโป้งของคนตายเอามาแขวนคอ เพื่อที่จะได้รู้จำนวนของคนที่ตายว่าครบหนึ่งพันคนหรือยัง

ซึ่งเขาสามารถฆ่าได้ครบ 999 คนแล้วเหลืออีกคนซึ่งพระพุทธเจ้าเห็นว่าคนที่หนึ่งพันนั้นจะเป็นแม่ขององค์คุลีมารเอง เพื่อไม่ให้เขากลายเป็นคนที่บาปหนามากพระพุทธเจ้าจึงได้เดินทางมาขวางเอาไว้เมื่อองค์คุลีมารเห็นพระพุทธเจ้าก็จะฆ่าเพื่อที่จะได้ครบพันคน แต่ไม่ว่าจะเดินตามหรือว่าวิ่งตามก็ไม่ทันพระพุทธเจ้าสักทีทำให้ฆ่าไม่ได้เมื่อเหนื่อยเขาจึงได้บอกให้พระพุทธเจ้าหยุด

แต่พระพุทธเจ้ากลับบอกว่า พระองค์หยุดแล้วแต่คนที่ไม่หยุดคือองค์คุลีมารเอง และพระพุทธเจ้าก็แสดงพระธรรมเทศนาโปรดองค์คุลีมาร จนเขากลับใจ ขอบวชติดตามรับใช้พระพุทธเจ้านับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

สนับสนุนโดย  ซื้อหวยฮานอยออนไลน์

ตำนาน นนทกเกิดมาเป็นยักษ์ทศกัณฐ์

เมื่อสมัยจักรวาลได้ถูกแบ่งออกไปเป็นสามโลก โลกบาดาน โลกมนุษย์ และ โลกสวรรค์ โลกแห่งเทพเทวดาและศักดิ์ชั้นสูงผู้มีฤทธิ์ทั้งเป็นที่ตั้งแห่งเขาไกลราดอันได้เป็นแกนกลางของจักรวาลและยังได้เป็นที่ประทับของพระอินสวนเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก แต่จะมีใครรูปว่าเรื่องราวอันยิ่งใหญ่นี้

ได้มีจุดกำเนิดมาจากยักษ์ผู้ที่ต่ำต้อยตนหนึ่งนามว่านนทกที่คอยก้มหมอบอยู่ที่เชิงบันไดเขาไกลราชทำหน้าที่ตักน้ำล้างเท้าให้เหล่าเทวดาที่ได้มาเข้าเฝ้าพระอินสวนนนทกผู้หน้าสงสารถูกเทวดาแกล้งถอนผลจนหัวโล้นจึงทำให้รู้สึกว่าน้อยใจหนักมันจึงได้ขึ้นไปร้องต่อหน้าพระอินสวนบรมเทพ

นอกจากนี้นนทกได้ขึ้นไปร้องขอนิ้วเพชรจากพระอินสวนจากนั้นนนทก็ได้ทำการใช้นิ้วทำการสังหารเหล่าเทวดาได้ล่มตายกันเต็มไปหมดจากนั้นจึงทำให้พระอินสวนได้มีอารมณ์โกรธเป็นอย่างมากจึงได้มีเทวบัญชาให้พระนารายณ์เทพผู้ดำรงธรรมได้เข้าไปทำการสังหารนนทกเสียจากนั้นพระนารายณ์จึงได้แปลงกายเป็นนางอัปสรที่สวยงามมารำต่อหน้านนทกจากนั้นยักษ์นนทก

เมื่อเขาได้รู้ว่าเสียทีให้แก่พระนารายณ์จึงได้กล่าวออกไปว่า “ใช่สิข้านั้นมีเพียงแค่สองมือไหนจะสู้ท่านผู้ที่มีสี่มือได้หากข้ามีฤทธิ์บ้างก็ย่อมชนะท่านได้แน่”จากนั้นพระนารายณ์ก็ได้กล่าวว่าหากเจ้าคิดว่าการที่มีพลังเหนือกว่าที่จะเอาชนะคนอื่นได้งั้นชาติหน้าเจ้าก็เกิดมาเป็นยักษ์มีสิบเศียรมีมือยี่สิบซ้ายขาวเหาะเดินบนอากาศมีฤทธิ์ที่เกียงไกรและตัวเราจะไปเป็นมนุษย์สองแขนสู้กับเจ้าให้เป็นที่ประจักรแก่ทั้งสามโลก

นอกจากนี้เมื่อลมหายใจสุดท้ายของนนทกได้สิ้นสุดลงจิตของมันก็ได้ลงมาเกิดที่โลกมนุษย์ทันไดบัดนี้นนทกได้กลับชาติมาเกิดเป็นท้าวทศกัณฐ์พยายักษ์เจ้านครเมืองกรุงลงกาด้วยมีถึงยี่สิบมือจึงได้มีพลังมหาสารยกได้แม้กระทั่งเขาไกลราชแกนกลางแห่งจักรวาลมีเศียรนับสิบฉลาดรู้รอบทุกสิ่งอย่างจดจำพระเวทได้

ทุกสิ่งอันสามารถที่จะถอดหัวใจออกจากร่างไม่มีผู้ใดที่จะฆ่าให้ตายได้ดูเหมือนว่าพญายักษ์ที่ไร้หัวใจแล้วเศียรทั้งสิบก็จะคิดวนแต่เรื่องกิเลสตัณหไม่รู้สิ้นเหล่าเทพเทวาก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ทัพยักษ์บัดนี้ก็ได้เข้าสู่สมัยที่เป็นอมานธรรมเริ่มเรืองอำนาจกลืนกินทั้งสามโลกแต่อย่างไรเสียความหวังในสันติยังคงมีอยู่

 

สนับสนุนโดย  entaplay online gambling

ความขัดแย้งของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตมี3ขั้วด้วยกัน

ในส่วนโลกของสหรัฐนั้นมันก็ได้มีทฤษฎีอยู่อย่างหนึ่งพวกเขามักคิดที่จะเชื่อในทฤษษฎีโดมิโน ซึ่งทฤษฎีโดมิโนมันได้หมายความว่าถ้าหากว่าเราได้ปล่อยให้โดมิโดตัวแรกนั้นได้ล้มลงไป นั่นมันก็จะหมายความว่าหากเราได้ยอมให้ประเทศหนึ่งได้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ไปลัทธิของคอมมิวนิสต์มันก็จะแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนั้นเหมือนกับการที่เราได้ผลักโดมิโนในประเทศข้างเคียงกันให้มันได้ล้มต่อๆกันไปจนมันได้กลายมาเป็นคอมมิวนิสต์กันหมดอันนี้มันเป็นทฤษฎีโดมิโน

ส่วนอุดมการของฝั่งคอมมิวนิสต์ถ้าเผื่อว่าจะให้สำเร็จไปตามทฤษฎีของคอมมิวนิสต์จริงๆแล้วมันก็จะต้องทำลายชนชั้นนายทุนให้หมดไปโดยสิ้นเชิง

หมายความว่าก็จะต้องเปลี่ยนให้ทุกประเทศในโลกเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เสียก่อนนั่นมันคือเรื่องของสงครามเย็นและสงครามตัวแทน

แต่ทว่าสงครามตัวเองในเอเชียนี้โดยเฉพาะแล้วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มันไม่ได้เหมือนกับสงครามตัวแทนอื่นๆในโลกไม่เหมือนในยุโรป 

ซึ่งได้มีการแบ่งเยอรมันตะวันออกกับเยอรมันตะวันตกหรือในแบ่งของอเมริกาใต้ที่ได้มีการขั้วของการขัดแย้งคืออิทธิพลของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็จะมีความซับซ้อนมากกว่านั้นเพราะว่าดันมีถึง3ขั้วอำนาจด้วยกัน โซเวียตไปทะเลาะกับกับจีนหลายคนอาจะงง 

เพราะว่าเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกันไม่ใช่เหรอจะมาทะเลาะกันได้อย่างไร

ในราวปี1950-1960 ที่สงครามเย็นกระจายออกไปทั่วโลกจีนและสหภาพโซเวียตก็ได้ตัดความสัมพันธ์กันทั้งๆที่ได้เป็นประเทศคอมมิวนิสต์เหมือนกันซึ่งเราได้เรียกเหตุการณ์ตรงนี้ว่า Sino-Soviet split 

เหตุการณ์แยกวงนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณปี1956 ในตอนนั้นโจเซฟสตาลิน ผู้นำสูงสุดของโซเวียตเสียชีวิตลงและก้ได้มีผู้นำคนใหม่ นายนิกิต้า ครุชชอฟ ได้ขึ้นมาแทน

ซึ่ง นายนิกิต้า ครุชชอฟ ก็ได้มีไอเดียใหม่ๆที่ไม่ต้องการให้สหภาพโซเวียตเป็นคอมมิวนิสต์ในแบบเดิมที่ได้เป็นลัทธิบูชาตัวบุคคลเพราะก่อนหน้านี้ในยุคของสตาลิน โซเวียตก็ไม่สามารถที่จะไปถึงฝั่งฝันของการที่จะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ตามทฤษฎีได้จริงๆเช่นเดียวกันกับประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหลายในโลก

สุดท้ายแล้วสตาลินก็กลายมาเป็นเผด็จการที่ได้มีการยกตัวเองนั้นได้เป็นผู้นำสูงสุดบังคับให้ทุกคนนั้นต้องเชื่อฟังเพื่อที่ชาติเรานั้นจะได้รอกพ้นจากภัยจักรวรรดินิยมของอเมริกาจึงได้ทำให้โซเวียตของในยุคสตาลินทำให้ประชาชนต้องเผชิญกับความอดอยากยากจนได้มีการกำจัดศัตรูทางการเมืองที่หนักหน่วงมีการสังหารหมู่มีนักโทษเต็มไปหมดทั้งในคุกและค่ายที่ได้ใช้แรงงานในไซบีเรียเป็นการปกครองที่โหดเหี้ยมกดหัวประชาชนไม่ต่างอะไรที่เป็นเผด็จการเฉยๆเลย

 

สนับสนุนโดย  entaplay เครดิต ฟรี

การปฏิวัติของฝรั่งเศส

เมื่อได้พูดถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสคุณจะนึกถึงอะไรบ้าง ซึ่งหลายคนก็อาจจะเห็นภาพ กีโยติน เคร่องประหารที่ได้ตั้งใจผลิตขึ้นมาเพื่อความเสมอภาคหรือ พระนางมารี อังตัวเน็ต ราชินีของพระเจ้าหลุยส์ที่16ที่เค้าได้เม้ามอยกันว่ามีประโยคที่โด่งดังตลอดกาลของนางก็คือ “Let them eat cake” หรือไม่มีขนมปังก็ทำไมไม่กินเค้กกันล่ะ

ซึ่งมันก็ไม่ได้มีหลักฐานใดๆตรงไหนเลยที่จะบ่งบอกว่านางพูดแบบนั้นจริงๆหรือบางคนก็อาจจะนึกถึง Do You Hear The People Sing เพลงดังจากละคร เรื่องLes Miserables ซึ่งอันที่จริงเหตุการณ์ที่ละครพูดถึงได้เป็นการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลที่ได้เกิดขึ้นในภายหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสถึง43ปีเลยทั้งนี้ยังได้มีการเข้าใจผิดกันเยอะว่าการปฏิวัติของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1789 ที่ได้มีการล้มราช วงศ์บูร์บอง

แล้วฝรั่งเศสก็ปกครองในระบอบ สาธารณรัฐมาจนถึงปัจจุบันอันที่จริงแล้วหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสปี1789 ทางฝรั่งเศสก็เข้าๆออกๆระหว่างระบอมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ระบอบเผด็จการทหารและระบอบสาธารณรัฐอยู่หลายรอบกว่าที่จะเป็นสาธารณรัฐ โดยสมบูรณ์และมั่นคงก็82ปีหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสอันโด่งดังที่เรารู้จักกัน

วันนี้เราจะมาดูกันว่าหลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศสที่เริ่มจากการบุกถล่มคุกบาสตีลล์ ในวันที่14กรกฎาคม 1789 แล้วเรื่องราวใน82ปีต่อมาเกิดอะไรขึ้นบ้างการปฏิวัติของฝรั่งเศสก็ได้เริ่มขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ในวันที่14กรกฎาคม 1789 โดยได้ใช้หมุดหมายการถล่มคุกบาสตีลล์ของประชาชนชาวปารีสเป็นสัญลักษณ์แต่ความไม่พอใจต่อกษัตริย์ขุนนางและระบบการปกครองนั้นได้คุกรุ่นมาก่อนหน้านั้นพอสมควรแล้วทั้งนี้เรื่องที่ สำคัญที่สุดคือเรื่องของปากท้อง เศรษฐกิจ

และ การเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมเศรษฐกิจของฝรั่งเศสเริ่มตกต่ำมาตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่15และที่ปรึกษาทางการคลังของพระเจ้าหลุยส์ที่15โด่งดังมาในความสามารถที่จะเก็บภาษีได้แบบมีประสิทธิภาพสุดๆภาษีไม่มีกระเด็นกลุ่มคนที่ถูกเก็บภาษียิบย่อยและเก็บแบบดุมากที่สุดก็คือประชาชนชั้นล้าง ชาวนาและผู้ใช้แรงงานทั้งหลาย

ส่วนเหล่าฐานันดรที่1กคือ ศาสนจักรและฐานันดรที่2คือขุนนางแทบไม่ต้องเสียภาษีกันเลยนอกจากนี้ชนชั้นใหม่คือชาวบ้านที่ค้าขายจนเป็นคนเป็นเศรษฐีใหม่หรือนิวมันนี่ที่เรียกว่าพวก บูร์ชวาส์ก็มักจะหาทางซิกแซ็กหลีกเลี่ยงภาษีได้เหมือนกัน สรุปว่าชาวบ้านชาวนาฝรั่งเศสทำงานเลี้ยงเจ้าและขุนนางตั้งแต่เกิดตายนั่นล่ะพอเข้าพระเจ้ารัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่16สถานการณ์ก็สุกงอมพอดี

เพราะนอกจากจะเสียภาษีกันจนแทบไม่มีกินแล้วยังเกิดภัยธรรมชาติรุนแรงติดต่อกันหลายปีข้าวสาลีที่ใช้ทำขนมปังก็ขาดแคลนเมื่อไม่มีขนมปังและประชาชนโกรธแค้นก็เลยเป็นที่มาของ “ไม่มีขนมปังก็กินเค้กสิ”

 

สนับสนุนโดย  entaplayทางเข้า

ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นบุกชิงเมืองนานกิง

สำหรับเรื่องนี้จะเป็นสาระที่เกี่ยวกับต่างประเทศสักเล็กน้อยเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกบันทึกไว้ในจารึกประวัติศาสตร์โลกเลยว่าความโหดร้ายแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วจริงๆมันมีความรุนแรงและโหดร้ายและได้มีความโหดเฮียมกว่าข่ายกักกันที่ข่ายนาซีเสียอีกเป็นเรื่องเกี่ยวกับในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเป็นเรื่องของเหตุการณ์ในอดีตที่ประเทศญี่ปุ่นได้บุกเข้าโจมตีประเทศจีน

สงครามโลกก็ต้องรบฆ่าฟันกันมันเป็นเรื่องธรรมดาแต่ทำไมเหตุการณ์นี้ถึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษนี่ ได้เป็นเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นได้บุกเข้าโจมตี เมืองนานกิง ไม่เพียงแต่รบลาฆ่าฟันเพื่อตีชิงเมืองแต่สิ่งที่ชาวจีนนั้นรับไม่ได้นั่นก็คือ ฆ่าข่มขืนหญิงทุกเพศทุกวัยเหตุการณ์ครั้งนี้หลายๆ คนอาจจะรู้จักกันดีว่านี่คือโศกนาฏกรรมนานกิง

ได้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์นองเลือดที่โหดร้ายที่ได้เกิดขึ้นมาในอดีตของเราเลยก็ได้หลายๆคนอาจจะยังไม่คุ้นหูในชื่อของเมืองนานกิงสักเท่าไหร่ แต่ว่าเมืองนานกิงนั่นมันเคยเป็นเมืองหลวงในประเทศจีนมาก่อนในประวัติศาสตร์นี้ว่ากันว่า เหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงนี้ได้มีชาวนานกิงที่ได้เสียชีวิตประมาณ250,000-300,000คนกันเลยทีเดียว

ซึ่งหนึ่งในจำนวนของผู้เสียชีวิตที่มากนั้นคือผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ใหญ่วัยรุ่นคนแก่ล้วนถูกฆ่าข่มขืนทั้งหมด ซึ่งวันนี้เราก็จะมาย้อนรอยในประวัติศาสตร์ที่ได้เกิดขึ้นมาจริงๆบนโลกของเรา เรื่องราวได้เกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมในปี2480 หลังจากที่ก่อทัพญี่ปุ่นได้เข้ายึดเมืองเซียงไฮ้ได้ไม่นานก็เริ่มที่จะขยายอำนาจอาณาเขตไปยังเมืองหลวงของจีนในสมัยนั้นนั่นก็คือ เมืองนานกิงนั่นเอง

ก่อนที่จะเข้าเมืองนานกิงทหารญี่ปุ่นได้บุกเข้าโจมตี เมืองซูโจวและได้สังหารประชากรภายวในเมืองราวเกือบ3.5แสนคนได้ฆ่าทิ้งทั้งหมดเมืองแห่งนี้ก็ได้เหลือคนเพียงแค่500คนเท่านั้นเอง จากการสังหารของทหารญี่ปุ่นจนกระทั่งรุ่งเช้าของวันที่13ธันวาคมทหารญี่ปุ่นได้บุกเข้าโจมตีเมืองนานกิง

โดยใช้เวลาเข้าบุกโจมตีเมืองนานกิงเพียงแค่สี่วันเท่านั้นแต่มันไม่ใช่เหตุการณ์สังหารหมู่เหมือนกับเมืองอื่นๆมิเช่นนั้นแล้วเหตุการณ์เมืองนานกิงจะไม่เป็นที่จดจำหากทหารญี่ปุ่นไม่ทำสิ่งนี้หลังจากที่บุกเข้ายึดเมืองนานกิงได้แล้วกองทัพญี่ปุ่นก็เริ่มฆ่าชาวจีนอย่างโหดเฮียมโดยที่ไม่ได้มีความปราณีใดๆเลยบางรายถูกฆ่าหั่นศพและได้นำเอาศพไปให้สุนัขกิน

บางรายโดยทรมานหลากหลายวิธีมากๆเลยแต่วิธีที่โหดร้ายอีกวิธีหนึ่งนั่นก็คือทหารญี่ปุ่นจะผูกชาวนานกิงเอาไว้กับแผ่นไม้กระดานแล้วนำเอาแผ่นไม้กระดานนี้วางเรียงกันเอาไว้ที่พื้นเป็นจำนวนมากแล้วให้รถถังวิ่งทับที่ละร่างๆไปจนเสียชีวิต

 

สนับสนุนโดย  next88 esports

ตำนานผีถ้วยแก้ว

สำหรับเรื่องของผีถ้วยแก้วนั้นได้มีเด็กอยู่กลุ่มหนึ่งที่พวกเขาไม่เชื่อในเรื่องของลี้ลับเด็กกลุ่มนี้เขาก็พยายามที่จะลองของเพื่อที่จะหาสิ่งลี้ลับไม่ว่าจะเป็นกลางป่าช้าการทำลายศาลหรือในการพูดลบหลู่ในพื้นที่ต่างๆเด็กพวกนั้นเขาก็ไม่เคยเจอของดีอะไรเลยแต่มีอยู่วันหนึ่งเขาก็ได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับผีถ้วยแก้วเด็กเหล่านั้น

เขาก็เลยคิดที่อยากจะลองของจากนั้นเด็กกลุ่มนี้เขาก็ได้นำเอาผีถ้วยแก้วนำเอาไปลองเล่นที่กลางป่าช้าเพราะเขาได้บอกเอาไว้ว่าถ้าหากเล่นผี่ถ้วยแก้วกลางป่าช้าจะสามารถพบเจอผีในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมันง่ายมากๆ ซึ่งกลุ่มเด็กเหล่านั้นได้นำเอาผีถ้วยแก้วเข้าไปในป่าช้าในขณะที่พวกเขากำลังเดินไปก็ได้มีเด็กคนหนึ่งเขาได้พูดไปในระหว่างทางและได้พูดท้าทายอยู่ตลอดเวลาว่า “ถ้าพวกมึงมีอยู่จริงพวกมึงออกมาให้กูเห็นเลยกูไม่เชื่อหรอกว่าพวกมึงมีอยู่จริงถ้ามึงแน่มึงออกมาเลย”

พอหลังจากที่สิ้นสุดคำท้าทายนั้นแล้ว สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือในขณะที่พวกเขาเดินในตอนแรกมันไม่มีลมและก็ไม่มีอากาศถ่ายเทเลยต้นไม้นิ่งสนิทแต่พอเด็กคนนั้นได้พูดเสร็จแล้วกลับกลายเป็นว่าได้มีลมพัดเข้ามาทำให้ใบไม้ต้นไม้สั่นกันในระดับหนึ่งอีกทั้งยังได้มีเสียงของหมาหอนอยู่ตลอดเวลาและหลังจากที่เด็กคนนี้ได้มีการตะโกนออกไปพวกเขาก็ได้เริ่มเล่นผีถ้วยแก้ว

ปรากฏว่าในขณะที่พวกเขากำลังเล่นไปมันก็ไม่ได้มีอาการเคลื่อนของแก้วแต่อย่างใดจนทำให้พวกเขาหงุดหงิดและไม่พอใจสรุปแล้วการเล่นไหนมันจะสามารถทำให้ได้เจอผีได้บ้างเขาก็เลยทำการาตะโกนออกมารอบที่สองได้ท้าทายแรงกว่ารอบแรกอีกและในครั้งนี้มันไม่ได้เหมือนกับรอบแรกเพราะว่าในครั้งนี้หลังจากที่พวกเขาได้ตะโกนไป

ปรากฏว่าแก้วที่พวกเขาทั้งสามสี่คนได้เล่นผีถ้วยแก้วกันอยู่มันก็เกิดอาการวนรอบกระดานอย่างรุนแรงแบบที่ไม่มีทิศทาง ซึ่งเด็กทั้งสี่คนนั้นเขาก็ได้หันมาถามกันว่ามันได้มีใครดันแก้วหรือเปล่าปรากฏว่าไม่มีใครดันแก้วเลยเพราะทุกคนได้ปล่อยนิ้วจิ้มลงไปเบาๆ โดยที่ไม่ได้มีการออกแรงเลยแม้แต่นิดเดียวเลย

ซึ่งตอนนั้นหลายๆคนก็เริ่มแปลกใจและเขาก็คือว่ามันอาจจะเป็นปรากฏการอะไรก็เป็นได้เขาก็ยังไม่เชื่อกันอยู่ดีจนสุดท้ายแล้วเด็กคนที่ได้ตะโกนท้าทายรอบบแรกกับรอบสองเขาก็ได้ตะโกนขึ้นมาอีกรอบหนึ่งและครั้งนี้ได้มีเหตุการแปลกเกิดขึ้นถึงขั้นที่ว่าแก้วที่มันได้วนๆอยู่บนกระดานนั้นอยู่ดีๆมันก็ได้แตกกระจายจนทำให้เศษแก้วกระเด็นเข้ามาปักที่แขนของคนนั้นและได้เป็นบาดแผลขนาดใหญ่

 

ขอขอบคุณ  entaplay  ที่ให้การสนับสนุน